เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
หลักของใจ หลักการภาวนา หลักของใจ เราจับใจเราเองไม่ได้ ใจเราคิดไปร้อยแปด หลักของใจจับหลักมันได้เลยนะ หลักของใจนี่หนึ่งเดียว ใจนี่คิดได้ครั้งละหนึ่งอารมณ์ มันจะมาคิดอะไรไป มันคิดไปตามธรรมชาติของมันเป็นอารมณ์ไป
ถ้ามันฟุ้งซ่านไป มันคิดออกไปนอกเรื่อง นี่มันไปแล้ว มันคิดไปตามประสาของมันไป ถ้าหลักของใจนะ ถ้าจับตรงนี้ได้ปั๊บ เราต้องกลับมาพุทโธ กลับมาพุทโธตั้งสติปั๊บ ถ้ามันคิดถึงเรื่องนี้ปั๊บ เรื่องอื่นมันจะดับหมด ถ้าเรื่องอื่นมันจะดับหมด มันก็กลับมาที่มัน
แต่เราเข้าใจผิดกันไง เราแก้ฟุ้งซ่าน พอมันฟุ้งซ่านก็ตามฟุ้งซ่านไป พยายามดูความฟุ้งซ่าน คือว่าเราไปแก้กัน เหมือนต้นไม้ ถ้าเราจับโคนต้นไม้ได้ ต้นไม้ทั้งต้นมันก็อยู่ที่เราจับนั่นน่ะ ถ้าเราโค่นโคนต้น ต้นนั้นล้มทั้งหมด แต่เราไปจับที่ปลายกิ่งไม้ เห็นไหม ว่าตรงนี้มันทำให้ลมพัด มันไหว มันมีอารมณ์ ต้องตามไปตรงนั้น เห็นไหม ไปจับให้มันอยู่คงที่ ทางนี้ให้มันคงที่ ทางอื่นมันโดนลมพัดมันก็ไหว แล้วต้นไม้ทั้งต้นเราจะไปจับมันได้อย่างไรให้มันอยู่กับที่ ให้มันไม่หวั่นไหวไปในอารมณ์
ถ้าเราจับ เรารู้หลักของมัน เราตั้งสติแล้วจับเข้ามา จับเข้ามาที่จิตของเรา จับเข้ามาที่ความรู้สึก จิตคือความรู้สึกทั้งหมดนะ เวลาเรารู้สึกอะไรขึ้นมา นั่นคือตัวใจ ตัวใจคือความรู้สึก มันจะหยาบให้มันหยาบไปก่อน แล้วมันจะละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ ละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ
ถ้ามันละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ อาการของมันร้อยแปดพันเก้า เวลาที่มันแสดงตัวออกไป มันจะมีอาการต่างๆ ที่มันจะแสดงตัวออกไปมหาศาลเลย เรื่องของจิตนี่มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ เห็นไหม มหัศจรรย์สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็น แต่คนที่เคยเป็นไปแล้ว สิ่งนี้เป็นหญ้าปากคอก สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ว่ามันเป็นเรื่องปากทางเข้า ปากทางที่ทุกคนจะต้องผ่าน ทุกคนจะต้องผ่านตรงนี้นะ
แล้วจะผ่านตรงนี้ ทุกคนผ่านตรงนี้ปั๊บมันเกิดปีตินะ เกิดความรู้สึกต่างๆ เกิดความรับรู้ต่างๆ มันจะรับรู้อะไร พอเรารับรู้อะไร เราจะคิดว่าเรานี่เป็นผู้วิเศษ ทุกคนจะคิดว่าเป็นผู้วิเศษ มันรับรู้แล้ว เรานี่มันรู้อะไรแปลกๆ มันรู้เหนือโลกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ว่าทำให้ติดทำให้ข้องไง ทำให้เราติดขัดกับเรื่องสิ่งนี้เลย
สิ่งนี้มันไม่ได้ติดได้ข้อง มันเป็นการบอกกล่าว มันเป็นการบอกถึงจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยของคนจะไปทางไหน มันจะบอกว่าไปทางนั้น มันจะบอกให้ไปเห็นสภาวะทางนั้น เห็นไหม ถ้าจริตนิสัยของเรามันจะคึกคะนอง หมายถึงว่าจิตมันจะมีพลังมีอำนาจ มันจะรับรู้ต่างๆ มันจะออกรับรู้อย่างนี้
ถ้าออกรับรู้อย่างนี้เราตามไป เหมือนเด็ก ถ้าเด็กนี่เราปล่อยมันเล่นตั้งแต่ทีแรกเลย ไม่ให้มันเรียนหนังสือ ไม่ให้มันทำการทำงาน มันจะไม่เป็นอะไรเลย นิสัยของมันจะเป็นคนขี้เล่นตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน ใจของเราพอหัดรับรู้ เห็นไหม พอมันรู้สิ่งต่างๆ เราจะออกรับรู้ไป เราจะตามรับรู้ไป มันจะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับมันเลย มันต้องปล่อยทิ้งทั้งหมดเลย
นั่นมันเป็นการบอกจริตนิสัย แต่มันไม่ใช่ถึงเวลาที่ต้องการใช้ ถ้าไม่ใช่ถึงเวลาที่ต้องการใช้ปั๊บ เราต้องกลับมาทำความสงบ อาการมันจะเกิดต่างๆ นะ ตกจากที่สูง เห็นไหม บางคนตกเหวตกบ่อมันจะตก วูบไปขนาดไหนให้มันตกไป สิ่งที่มันตกไป นี่อาการทั้งหมด เห็นไหม บางคนตัวใหญ่ ตัวพอง น้ำหูน้ำตาไหล มันจะเป็นอาการทั้งหมดเลย สิ่งนี้มันเป็นปีติ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ องค์ของสมาธิ มันจะเข้าองค์ของสมาธิมันต้องผ่านอาการอย่างนี้ ถ้าเราผ่านอาการอย่างนี้ มันจะไม่มีสิ่งใดๆ เป็นโทษเลยเพราะอะไร เพราะเรารู้สึกตัวอยู่ ถ้าเรารู้สึกตัวเราอยู่นะ เรารู้สึกตัวอยู่ เรากำหนดจิตของเราไว้ มันจะไม่พลาดไปไหนเลย
แต่คนที่เสีย ตรงนี้มันจะไม่มีความรู้สึกตัวไง เวลาอะไรเกิดขึ้นมา รับรู้สิ่งต่างๆ ไป แล้วมันเสียมันเสียไปเพราะอะไร เพราะมันออกจากฐานไป ออกจากผู้รู้ไป เห็นไหม ออกจากฐานไปมันรับรู้สิ่งต่างๆ มันจะวิ่งออกไปข้างนอก รับรู้สิ่งต่างๆ ออกไปข้างนอก ถ้ารับรู้สิ่งต่างๆ ออกไปข้างนอก มันจะหมุนออกไป ถ้าหมุนออกไป อันนั้นเป็นความเสียหาย เพราะอะไร เพราะมันตามรู้ออกไปเรื่อยๆ มันตามรู้ออกไปเรื่อย วิปัสสนูมันเกิด ที่ว่าวิปัสสนูมันเกิด เกิดอย่างนี้ วิปัสสนูมันเกิด อาการของใจกับอาการของใจที่ผู้รู้นี่มันต่างกัน
อาการของใจที่ผู้รู้ เวลาเรารับรู้อารมณ์ของเรา ผู้รู้นี่ ตั้งพุทโธขึ้นมาหรือกำหนดบริกรรมขึ้นมา มันถึงที่สุดมันจะหยุดของมัน มันจะหยุดของมันโดยธรรมชาติของมันเลย มันหยุดของมัน แต่เวลาหยุดของมัน มันแก้ง่ายๆ เลย
แต่คนคิดว่าของง่ายนี่มันหญ้าปากคอก มันไม่คิดว่าแก้ได้อย่างนี้ มันจะต้องว่าพอมันฟุ้งซ่านไป สิ่งที่รับรู้นั้นรู้อะไร? สิ่งนั้นมันสิ่งที่น่ากลัวไหม? มันตื่นเต้นไหม? ไปรับผลความตื่นเต้นของมันไง ไปรับผลความตื่นเต้นของใจ ใจมันจะตื่นเต้นมันรับรู้ออกไป แล้วจะไปแก้ไขตรงนั้น
ไม่ต้องแก้! วางเลย ตั้งสติแล้วกลับมาที่พุทโธอย่างเดียว ตั้งสติ เห็นไหม สติปั๊บกลับมาที่ผู้รู้ จิตมันรับรู้หนึ่งเดียว เหมือนกับเราเหวี่ยงแหออกไป มันจะกว้านไปหมดเลย แต่ที่เหวี่ยงนี่เชือกเส้นเดียว เห็นไหม เราจับที่จอมแหนั้น เส้นเดียวนี่ ดึงขึ้นมาแหมันจะกลับเข้ามาหมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน กลับมาที่ผู้รู้ ทุกอย่างจะดับหมด พอดับหมดปั๊บเราก็ตั้งสติ พอดับหมดครั้งหนึ่ง ๒ ครั้งมันก็ อ้อ.. มันเป็นเพราะเราไปรับรู้ไง มันเป็นเพราะเราไปรับรู้อาการของมัน เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่ามันจะเข้าหาความสงบ มันจะเข้าถึงจับจอมแหได้ เราถึงจอมแห อาการของมันเป็นอย่างนั้น นี่อาการของจิต
ถึงบอกว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัว เห็นไหม น่ากลัวตรงไหน น่ากลัวที่คนเราอยู่คนเดียว เราระวังความคิดของตัวเอง นี่ก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่น่ากลัว น่ากลัวเพราะว่าเรานี่ไม่รู้ความจริง เราไม่รู้สิ่งต่างๆ เลย แล้วกิเลสมันหลอกเรา พอมันน่ากลัวขึ้นมา สิ่งที่น่ากลัวแบบเวลาลมพายุเกิดขึ้นมา พายุพัดไปที่ไหน ที่นั่นจะราบเป็นหน้ากลองไปหมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์มันเกิดขึ้นมา เราไปติดข้องที่พายุนั้น แต่เราไม่รู้จักวิธีหลบหลีกพายุนั้น เราหลบหลีกพายุนั้นนะ เราหาที่บังลม ที่ไหนที่บังลม ที่ไหนที่เป็นที่ว่ามันที่แข็งแรง เห็นไหม เราไปหลบที่นั่นเพื่อบังลม นี่ก็เหมือนกัน เราหลบมา หลบความคิดต่างๆ หลบกิเลสที่มันจะพาออกไป เราหลบเข้ามา เราเข้ามาที่ความคิดของเรา หลบเข้ามาที่สติสัมปชัญญะของเรา หลบเข้ามาตรงนี้ ถ้าหลบเข้าตรงนี้ได้ นี่พ้นภัย
ความที่พ้นภัย มันหลบเข้าไปที่พุทโธ เห็นไหม สติสัมปชัญญะกลับมา พ้นภัยหมดเลย พายุมันก็ดับโดยธรรมชาติของมัน เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งที่สืบต่อ ไม่มีสิ่งที่สร้างเป็นพายุขึ้นไป
แต่ถ้าเราไปอยู่ที่พายุนั้น เห็นไหม พายุนั้นมันจะเป็นไปตามมหาศาลเลย จะเกิดความปั่นป่วนภายในหัวใจ จะเกิดความตกใจ จะเกิดความคิดร้อยแปดแล้วก็สะสม เห็นไหม ความต่อเนื่อง ความเกี่ยวเนื่องต่อไป นั่นภัยของกิเลสในตัวของเราเอง ภัยของความคิดของเราเองมันเกิดขึ้นอย่างนี้ เกิดขึ้นจากภายใน เกิดขึ้นจากความไม่รู้ เพราะเราจับหลักไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติหมายถึงว่าถ้าเราไม่รู้สิ่งต่างๆ เราไม่รู้หลักเกณฑ์ของมัน เราก็วิ่งเต้นไปอย่างนั้น
แต่ถ้าคนเป็นนะ แก้ง่ายนิดเดียว แก้ง่าย กลับมาที่ตรงนี้ กลับมาที่สติสัมปชัญญะ กลับมาที่พุทโธ เห็นไหม ทุกอย่างจะดับหมดเลย มันจะแปลกประหลาดจะมหัศจรรย์ขนาดไหนเรื่องของมันนะ มันจะเกิดขึ้นมา เพราะว่ามันเป็นอำนาจวาสนา บางคนเห็นเขาเกิดขึ้นมา เขารู้สิ่งต่างๆ เราก็อยากรู้ไปกับเขา ทำไมเราไม่รู้? ทำไมเราไม่รู้?
เราไม่รู้หรอก บางคนสงบเฉยๆ ไง เวลาเราภาวนา เห็นไหม เราทำทานขึ้นมา เราทำทานเพื่ออะไร? เพื่อจะให้ใจนี่มันมีความสุข เพื่อให้ใจนี่เป็นบุญกุศลขึ้นมา เห็นไหม บุญกุศลเกิดขึ้นมาจากใจ เกิดจากความฟังธรรมขึ้นมา ฟังธรรมขึ้นมาเราอยากปฏิบัติขึ้นมา เราอยากค้นคว้าตัวเราเองขึ้นมา เราอยากหายใจของเราเองขึ้นมา นี่วิธีภาวนาเกิดขึ้นมาตรงนั้น
ถึงบอกภาวนาเกิดขึ้นเพราะความต้องการของเราอยากจะภาวนา ภาวนาเพื่อจะหาหลักของใจ เพื่อจับใจของเราเองให้ได้ ถ้าจับใจของเราเองได้ นี่หาตัวตนเจอ เราหาตัวตนของเราเจอ เห็นไหม ทุกคนชื่อนาย ก. นาย ข. นาย ง. นี่สมมุติทั้งนั้น ไปที่กองทะเบียนไปเปลี่ยนชื่อ ชื่อก็เปลี่ยนแล้ว เราไม่เคยเห็นตัวตนของเราเลย ชื่อนี่แล้วแต่เขาเรียกเอา แต่ผู้รู้ที่ในหัวใจมันเป็นสากล มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาลกับมนุษย์เกิดมา
มนุษย์เกิดมานี่ เราแสวงหามาขนาดไหน ทุกข์ยากขนาดไหนก็เพื่อความสุขของเรา เราแสวงหาความสุขของเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า วิดทะเลทั้งทะเลเลย เพื่อเอาปลาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง
วิดทะเลทั้งทะเลเอาปลาเล็กๆ ตัวหนึ่งคือว่าหมายความสุขแล้วมันหาความสุขไม่ได้ไง แต่ถ้าหาความสุขจากตัวเราเอง หาความสุขจากภายใน หัดกำหนดพุทโธ หัดกำหนดระลึกสติ ระลึกสัมปชัญญะอยู่ ระลึกรู้อยู่ ความสุขมันจะเกิดขึ้นมา มันจะปล่อยวางขึ้นมา มันจะอยู่ได้ของมันขึ้นมา
พอมันเกิดขึ้นมา ความสุขอันนี้ไม่ใช่วิดน้ำจากทะเล วิดน้ำจากทะเลนี่เรื่องของโลกียะ เรื่องของโลกทั้งหมดเลย อันนี้เป็นเรื่องของความว่ามันอยู่ในข้องไง ปลาในข้อง เห็นไหม เราเอามือจับเข้าไปในข้อง มันก็จับในข้องได้ ปลาในข้องเราจับขึ้นมาปั๊บมันก็เป็นปลาของเรา เพราะมันอยู่ในข้อง มันไปไม่ได้หรอก
ใจก็เหมือนกัน ใจอยู่ในตัวเรานี้ แต่เราจับปลาของเราเองไม่เจอ เห็นไหม กายของเราคือมันข้อง ข้องที่ขังใจไว้ ถ้าเราพยายามตั้งสติสัมปชัญญะอยู่ มันจะกลับมาที่เรา เกิดประโยชน์กับเรา
สิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ นั้นเป็นอาการ อย่าไปตกใจ ไม่ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอาการ เรารับรู้ถึงอาการต่างๆ เหมือนกับรสชาติอาหาร เห็นไหม เรากินข้าวกินปลากันเพื่อบำรุงร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต เพื่อร่างกายต้องการอาหาร แต่รสอร่อยรสไม่อร่อยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการสิ่งที่ว่ามันกำหนดใจขึ้นมา ให้ใจมันสงบขึ้นมา ถ้าใจสงบขึ้นมา มันปล่อยอาการทั้งหมด มันจะมีความปล่อยวางเข้ามา มันสงบขึ้นมา อาการเข้าไปเหมือนรสของอาหารไง รสของอาหารแล้วแต่คนชอบ แล้วแต่คนตกใจ แล้วแต่คนพอใจไม่พอใจ ถ้ามันชอบขึ้นมา มันก็พอใจของมันว่าสิ่งนี้ถูกจริตกับเรา เห็นไหม เราชอบใจ
สิ่งนี้ไม่ชอบใจกับเราเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นธรรม กิเลสมันกลัวไง มันกลัวว่าถ้าเราไปเห็นร่องเห็นรอยของธรรม เห็นการออกไป มันจะเป็นการต่อสู้กับมัน กิเลสมันถึงปัดไง ปัดให้เรามีความตกใจ ปัดให้เรามีความกลัว ปัดให้เรามีความรู้สึกต่างๆ มันมีความรู้สึกต่างๆ อันนี้กิเลสมันปัด นี่คือความคิดของกิเลส แต่เราไม่เข้าใจ เพราะว่าเราเป็นเรา กิเลสเป็นเรา เรากับกิเลสเป็นอันเดียวกัน ความคิดกับเราเป็นอันเดียวกัน เลยไม่ใช่เรื่องของธรรม
ถ้าเรื่องของธรรม สิ่งนี้มันเป็นการสิ่งที่ทำให้เราไขว้เขว เราจะไขว้เขวกับสิ่งอย่างนี้ออกไป แล้วมันจะหลุดออกไป เห็นไหม ก้าวเดินออกไป ออกจากใจออกไป ตามอารมณ์ออกไป อารมณ์เกิดขึ้น อารมณ์มันเกิดดับ เวลาอารมณ์มันเกิดขึ้นมา มันมาจากไหน? เวลามันดับมันดับไปไหน? มันไม่มีขึ้นมาหรอก มันเป็นแขกจรมา มันเกิดดับในหัวใจ
สิ่งนี้มันเกิดดับขึ้นมา แล้วมันปกปิดสิ่งที่รับรู้ไว้อันหนึ่ง ธาตุรู้ ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดจากรับรู้อารมณ์ไง จิตกับขันธ์คนละอันกัน จิตรับรู้อารมณ์ อารมณ์เกิดขึ้นก็รับรู้ไป พอมันรับรู้ มันทำงานของมัน มันก็ปล่อย มันก็หายตัวมันไป มันปล่อยไป เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาใหม่ เห็นไหม เกิดดับเกิดดับอยู่กลางหัวใจอยู่อย่างนั้น
สิ่งที่เกิดดับขึ้นมา แล้วมันเกิดดับขึ้นมา มันก็สร้างอารมณ์ของเราขึ้นมา เราต้องการความสงบอันนี้เพื่อจะเห็นความเกิดดับ เห็นไหม ถ้าเห็นความเกิดดับของอาการของขันธ์ มันก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสมมุติ เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นสมมุติที่มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันเกิดเพราะเราได้สถานะขึ้นมา เหมือนข้าราชการ เรารับตำแหน่งอะไรเราก็ได้ตำแหน่งนั้นมา เราทำหน้าที่ตำแหน่งนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เราได้ภพของมนุษย์ขึ้นมา มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน แต่เราไม่เคยใช้ความเกิดดับอันนี้เป็นประโยชน์กับเรา เราใช้ความเกิดดับอันนี้เป็นการดำรงชีวิตไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แต่การวิปัสสนาย้อนกลับมาดูความเกิดดับ เห็นไหม ความเกิดดับนี้เป็นสมมุติ สมมุตินี้คือหลอกลวงเรา
สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เราเป็นความสุขเราเป็นความทุกข์ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเรา มันเป็นความโกหกให้เราติดข้องกับสิ่งนั้น เสียเวลา เสียความรับรู้ เสียสิ่งต่างๆ ที่เราต้องไปอยู่กับมัน แต่ความจริงแล้วมันคือการพลัดพราก เขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากเขา เห็นไหม นั่นมันพลัดพรากจากหลักความจริงอันหนึ่งอยู่แล้ว
แต่ความยึดมั่นถือมั่นนี่มันเป็นอุปาทานความยึดของเรา เราไปแก้ตรงนี้ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ สิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัย สิ่งต่างๆ เป็นเครื่องอยู่อาศัยที่เราอาศัยกันเป็นเครื่องอยู่อาศัยไปเท่านั้น แต่สิ่งนี้มันเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่นี่ วิปัสสนากลับมาตรงนี้ วิปัสสนาเกิดจากความสงบของใจ
ถ้าใจสงบขึ้นมา วิปัสสนานี่เป็นโลกุตตระ เห็นไหม คำว่าโลกียะ โลกียะคือความคิดของโลกนี้เท่านั้น เขาว่าอย่างนั้นนะ ความคิดของเรานี่เป็นโลกียะ โลกียะเป็นเรื่องของวัฏฏะไง วัฏฏะนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นพรหมก็โลกียะ เป็นโลกียะคือความติดข้องในวัฏฏะ แต่ถ้าเราปลดเปลื้องสิ่งนี้ มันจะพ้นออกไปจากวัฏฏะ โลกุตตระมันพ้นออกไปจากวัฏฏะเลย ความคิดต่างๆ มันเกี่ยวข้อง ความยึดมั่นถือมั่น นั่นคือโลกียะทั้งหมด โลกียะคือความยึดมั่นถือมั่นไว้ในการเกิดในภพชาติต่างๆ ในการเกิดขึ้น นี่คือโลกียะ เพราะไม่มีสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นมา มันก็เกิดอาการที่ว่าหลอกลวง เกิดการต่อต้าน เกิดการผลักไสจากเราเอง เกิดการผลักไสกับใจ มันผลักไสสิ่งนั้นไม่ให้เกิดกลายเป็นโลกุตตระไง โลกุตตระคือจะปลดเปลื้องใจออกไปจากการเกิดดับอันนี้ไง ถ้าปลดเปลื้องใจออกไปจากการเกิดดับ ความเกิดดับจากใจจะขาดออกจากกันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนมันเป็นอิสรภาพของมัน จนเป็นอิสระถึงที่สุดของมันขึ้นมา
นั้นคือหลักของใจ หลักของใจเป็นอย่างนั้น เราถึงว่าถ้าเราจับหลักของมันแล้ว เราอย่าไปตกใจ อาการต่างๆ นี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นการผลักไส เป็นเรื่องของกิเลสเข้ามาหลอกลวงเรา ถ้าเราจับต้องของเราได้ เราผ่านสิ่งนี้เข้าไปได้ มันจะผ่านความสงบเข้าไป
เหมือนกับจอกแหน เห็นไหม เราจะเห็นน้ำขึ้นมา มันต้องผ่านจอกแหนออกไป แล้วจอกแหนมันบังน้ำอยู่ เราจะแหวกจอกแหน มันก็จะต้องมีเสียงดัง ต้องมีคลื่นน้ำ ต้องมีทุกอย่างต่างๆ ต้องเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดสิ่งนั้น เราตกใจกับสิ่งนั้น เราจะไม่เห็นน้ำนั้นเลย เราจะไม่เห็นอาการของใจ เราจะจับตัวใจของเราไม่ได้เลย ถ้าเราผ่านจอกแหนเข้าไปถึงจับตัวของใจได้ นั้นจะเป็นความร่มรื่นของใจของเรา นั่นใจถึงเป็นหลัก หลักของใจเป็นอย่างนั้น เอวัง